Bar Charts เป็นการกราฟชนิดหนึ่งที่แสดงผลถึงการเคลื่อนไหวของราคา ณ เวลาช่วงนั้นๆเพราะกราฟจะมีการแบ่งย่อยเป็น Time frame คือ ช่วงเวลา เช่น 1 นาที 5 นาที 15 นาที 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง 1วัน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน หรือ ตามช่วงเวลาๆนั้นๆ ตาม Platform การเทรดของโบรกเกอร์ กราฟจะมีการเปิดปิดแท่งแตกต่างกัน โดยองค์ประกอบของ Bar charts จะประกอบด้วย
- เส้นตรงคือความยาวตามช่วงเวลา แสดงถึง ราคาที่แกว่งตัว เปิดและปิดตามช่วงเวลานั้นๆ
- ขีดซ้าย คือราคาเปิด ขีดขวาคือราคาปิด
- จุดสูงสุด และ จุดต่ำสุด ของราคา ตามช่วงเวลานั้นๆ
ราคาเปิดจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิด และจะเรียกว่า แท่งขาขึ้น (Bullish Bar)
ราคาเปิดจะอยู่สูงกว่าราคาปิด และจะเรียกว่า แท่งขาลง (Bearish Bar)
ลักษณะจำเพาะของ Barchart
OPEN Price (ราคาเปิด) ราคาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายยื้อกันซื้อขายหุ้นในช่วงเวลาๆนั้นๆ โดยราคาเปิดจะมีความสัมพันธ์กับ บาร์(Bar) ก่อนหน้า ตัวอย่างหากราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดของบาร์(Bar)ก่อนหน้า ก็เป็นการคาดคะเนได้ว่า ราคาถัดไปจะมีการยกตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีการปิดบาร์ ที่ราคาปิด หากราคาปิด ต่ำกว่าราคาเปิด แสดงว่า ผู้ซื้อมีแรงซื้อน้อยกว่าผู้ขาย
HIGH Price (ราคาสูงสุด) ราคาที่มีการทำธุรกรรมซื้อในช่วงเวลานั้นมากที่สุดและมีการลดระดับลงมา จนปิด โดยจุดสูงสุดนี้ จะมีประโยชน์ตรงที่ว่า เราสามารถใช้เปรียบเทียบกับราคาในอดีตได้ง่าย ตัวอย่างเช่น จากภาพทางขวามือ จุดสูงสุดมีราคา 10 บาท ซึ่งราคาในอดีตทำจุดสูงสุดไว้ที่ 9 บาท และไม่เคยถึง 10 บาท มา ตลอด 5 ปี แต่ ณ วันนั้นตอนนั้น ราคาทำสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ ทำราคาใหม่แตะที่ราคา 10 บาท ณ จุดสูงสุดนี้ ถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ของกราฟ
LOW Price (ราคาต่ำสุด) ราคาที่มีการทำธุรกรรมขายในช่วงเวลานั้นมากที่สุดและมีการซื้อกลับขึ้นขึ้นไปและปิด โดยจุดต่ำสุดนี้ จะมีประโยชน์ตรงที่ว่า เราสามารถใช้เปรียบเทียบกับราคาในอดีต ตัวอย่างเช่น จากภาพทางขวามือ ราคาต่ำจุด มีราคาที่ 5 บาท ซึ่งราคาในอดีต เคยต่ำสุดแค่ 6 บาท มาตลอด 5 ปี แต่ ณ วันนั้นตอนนั้น ราคาทำสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ ทำราคาใหม่ต่ำที่ 5 บาท ณ จุดๆนั้น ถือเป็น จุดต่ำสุดของกราฟ
CLOSE Price (ราคาปิด) เป็นราคาที่สำคัญที่สุด ในบรรดา OHLC Chart (Open High Low Close) เพราะ ราคาปิดนั้น บอกหลายสิ่งหลายอย่าง ตัวอย่างนะครับ เคยได้ยินใน ทีวี โทรทัศน์ไหมว่า วันนี้ ราคาหุ้นตัว xxx เปิดราคาที่ ….. ปิดที่ราคา ….. แต่ราคาปิดนั้นสำคัญมากกว่าราคาเปิด ราคาเปิดนั้นเราสามารถรู้ว่ากราฟเปิดราคา ณ ตรงไหน และ มีการไปทดสอบกี่ครั้งก่อนจะไปทิศทางขึ้นหรือลง ส่วนราคาปิดพิเศษตรงที่ว่า ราคาปิดเปรียบเสมือ ราคาที่สะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ ที่แข่งขันกันซื้อขึ้นหรือลง และปิดตัวลง และ ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็จะ บ่งบอกให้รู้ว่า กราฟจะเป็นไปในทิศทางใดในเวลาถัดไป
Up Trends (เทรนขาขึ้น)
โดยปกติแล้วความหมายของแนวโน้มนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เกิดขึ้นจากจุดสูงสุดและต่ำสุดของกราฟที่เกิดขึ้น ในส่วนของBar Charts คำนิยามของ คำว่าเทรน ขาขึ้นใน ลักษณะกราฟประเภท Bar Charts นั้นดูได้จากรูป เราจะสังเกตได้ง่ายๆคือ จุดสูงสุดและต่ำสุดของ Bar จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีจุดใดจุดหนึ่งที่ต่ำกว่ากัน
Downtrends (เทรนขาลง)
ในส่วนของเทรนขาลงนั้นก็ตรงข้ามกับเทรนขาขึ้น จุดสังเกตง่ายๆหากแท่งราคา หรือ Bar มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ต่ำลงเรื่อยๆ ราคามักจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางขาลงหรือที่เรียกว่า ดาวน์เทรน เราก็จะสามารถคาดคะเนว่ากราฟยังคง อยู่ในทิศทางเดิมต่อไป
End of UpTrend (จุดสิ้นสุดของเทรนขาขึ้น)
หลังจากที่กราฟเทรนขาขึ้นได้มีการยกตัวของจุดต่ำสุดและสูงสุดขึ้นไปเรื่อยๆ มันไม่มีกราฟตลาดไหนหรือหุ้นตัวไหนที่ไม่มีวันขึ้นไปตลอด จุดสังเกตในการดู Bar ว่ากราฟกำลังส่งสัญญานบอกเราว่า กราฟสิ้นสุดเทรนขาขึ้นแล้ว สังเกตได้จาก มีจุดสูงสุดของแท่งปัจจุบันแท่งนั้นๆ ปิดราคาต่ำกว่า แท่งก่อนหน้า และมีจุดต่ำสุด ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งก่อนหน้า
End of Downtrend (จุดสิ้นสุดของเทรนขาลง)
หลังจากที่เราได้เรียนรู้พฤติกรรมของกราฟเทรนขาลงเรียบร้อยแล้ว ในการสังเกตกราฟเทรนขาลงที่ได้ต่ำลงเรื่อยๆนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่กราฟจะเปลี่ยนเทรนหรือกลับตัว ตัว Bar หรือ แท่งราคา จะการเปลี่ยนแปลงจากขาลงเป็นขาขึ้น จะสังเกตง่ายๆได้จาก Bar หรือแท่งราคานั้นจะมีพฤติกรรมดังนี้ เริ่มมีจุดสูงสุดของราคายกตัวสูงขึ้นกว่าแท่งก่อนหน้า จุดต่ำสุด สูงกว่าราคาปิด หรือ ราคาปิดสูงกว่าราคาปิดก่อนหน้า ซึ่งเราจะได้เรียนรู้พฤติกรรมเหล่านี้ต่อไปในส่วนของเรื่อง “Key Reversal”